โลกของเรานั้นผ่านเหตุการณ์สำคัญที่เรียกว่า “การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่” มาแล้วถึง 5 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อ 66 ล้านปีก่อน ทฤษฎีที่ยอมรับกันมากก็คืออุกกาบาตพุ่งชนโลกในครั้งนั้นได้เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม สภาพภูมิอากาศ จนกวาดล้าง 75% ของสิ่งมีชีวิตบนโลกให้หายไปรวมถึงไดโนเสาร์
ทุกวันนี้ “การสูญพันธุ์ครั้งที่ 6” ถูกพูดถึงอย่างหนาหู คาดการณ์ว่าอาจรุนแรงที่สุดในรอบ 500 ปี ก็ว่าได้ หากไม่นับว่าธรรมชาติฟื้นตัวขึ้นมาในช่วงที่โรคโควิด-19 (COVID-19) แพร่ระบาด เพราะมนุษย์เก็บตัวอยู่บ้านหยุดกิจกรรมที่คุกคามสิ่งแวดล้อม ก็ต้องยอมรับว่าโลกบอบช้ำไม่น้อยจากการกระทำของมนุษย์ที่ผ่านๆ มา
ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มประกาศว่าการสูญพันธุ์ครั้งที่ 6 ของโลกกำลังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง หลังพบอัตราการทำลายสัตว์ป่าเร่งตัวขึ้น และถือเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่ออารยธรรมมนุษย์
เมื่อเร็วๆ นี้มีการวิจัยใหม่จากทีมนักชีววิทยาของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ในสหรัฐอเมริกา เผยว่าสิ่งมีชีวิตมากกว่า 500 ชนิด กำลังจะสูญพันธุ์ในอีก 20 ปีข้างหน้า ทีมวิจัยระบุว่าการค้าสัตว์ป่ารวมถึงผลกระทบอื่นๆ จากการกระทำของมนุษย์จะกำจัดสิ่งมีชีวิตหลายร้อยสายพันธุ์ไปตลอดกาล ทั้งยังผลักดันให้มีการสูญพันธุ์มากยิ่งขึ้นในอัตราที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อย่างกรณีไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ ที่ก่อให้เกิดโรคโควิด-19 ก็เชื่อว่ามีต้นกำเนิดจากสัตว์และติดต่อสู่คน จนขยายวงกว้างไปเรื่อยๆ นั่นก็เป็นเพราะกิจกรรมของมนุษย์บังคับให้สัตว์ป่าเข้ามาในพื้นที่อยู่ใกล้กับมนุษย์มากขึ้น
การวิจัยเผยว่าแรงกดดันของมนุษย์ เช่น การเติบโตของประชากร การทำลายแหล่งที่อยู่อาศัย การค้าสัตว์ป่า มลภาวะ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการคุกคามสัตว์หลายสายพันธุ์ทั่วโลก
หนทางแก้ไขและรับมือใช่ว่าจะไม่มีเสียเลย นักวิจัยมองว่าการอนุรักษ์สัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ ที่ควรยกระดับให้เป็นภาวะฉุกเฉินระดับชาติและระดับโลก หยุดการค้าสัตว์ป่า รวมถึงค้าสัตว์ป่าที่ผิดกฎหมาย หยุดทำลายธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้ก็จะหยุดชะงักความเชื่อมโยงกับสภาพภูมิอากาศ และปกป้องมนุษยชาติจากภัยธรรมชาติและโรคต่างๆ ซึ่งอาจช่วยลดโอกาสหรือยืดระยะเวลาในการเผชิญกับการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ได้.
ภัค เศารยะ
อ่านเพิ่มเติม...
"สูญพันธุ์" - Google News
June 06, 2020 at 05:01AM
https://ift.tt/3eVxkTL
หน้าต่างโลก : การสูญพันธุ์ครั้งที่ 6 - ไทยรัฐ
"สูญพันธุ์" - Google News
https://ift.tt/2U2TUlm
No comments:
Post a Comment